หยก : JADE : หินศักดิ์สิทธิ์
ธาตุ : ดิน
คำว่า JADE (เจด) มาจากภาษาสเปนว่า “ Piedra de hijade ” หมายถึง “ เจ้าแห่งหินทั้งปวง” หรือแปลตามตัวว่า "หินสีข้าง"
(เชื่อว่าชื่อที่ตั้งให้กับหินชนิดนี้ จากการที่ชาวอินเดียนำหินดังกล่าวมาใช้ในการรักษาที่เกี่ยวกับไต) นักผจญภัยชาวสเปนผู้ค้นพบในอเมริกาเชื่อว่าหยกสามารถรักษาโรคไตได้ นอกจากนี้คำว่า "Nephrite" ยังมาจากคำว่า "Nephros" ซึ่งเป็นภาษากรีกแปลว่า "ไต" มีความเชื่อว่าสามารถรักษาโรคได้ ซึ่งเรียกว่า CONQUISTADORS
ชาวอินเดียนแดงสวมใส่แร่ชนิดนี้เป็นเครื่องรางป้องกันไม่ให้ถูกงูพิษกัดและเพื่อรักษาโรคลมบ้าหมู และชาวพรีโคลัมเบียน (ชาวอเมริกันอินเดียนก่อนสมัยที่โคลัมบัสค้นพบอเมริกา) ต่างใช้หยกกันอย่างแพร่หลาย เช่นเดียวกับมหาราชาของอินเดียหลายพระองค์ที่คลั่งไคล้หยกเป็นอย่างมาก สมบัติล้ำค่ามากมายของมหาราชาเหล่านี้ ล้วนแกะสลักมาจากหินอันทรงคุณค่าชนิดนี้นั่นเอง
:The Taj Mahal Emerald
ขอบคุณภาพประกอบจาก : https://www.vogue.co.th/watches-jewellery/article/cartieraugust2020
ชนชาติจีนนำหยกมาใช้เมื่อ ๕,๐๐๐ ปีมาแล้ว หยกฝังแน่นกับวัฒนธรรม หลักปรัชญา และมโนทัศน์ของชาวจีน หยกคือสิ่งหนึ่งสิ่งเดียวกับชนชาติจีน หยกที่ดีที่สุดมาจากประเทศพม่า คนจีนมีความเชื่อว่าหยกมีพลังอำนาจพิเศษที่ช่วยคุ้มครองผู้สวมใส่ เช่น คนที่ใส่ตกบันไดหรือถูกรถชน แต่สิ่งที่ได้รับความเสียหายอย่างเดียวคือ สร้อยข้อมือหยก หยกจะแตกเป็นเสี่ยงๆ หรือไม่ก็หักเป็นสองซีก เพราะว่ามันจะดูดซับผลกระทบจากอุบัติเหตุนั้นไว้และยอมให้ตัวมันเองแตกหัก ก็เลยช่วยชีวิตของคนสวมหรือช่วยป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายร้ายแรงขึ้นได้ ใครก็ตามที่เพิ่งประสบเหตุการณ์ทำนองนี้จะรีบออกไปซื้อจี้หยกมาแทนของเก่าทันที ไม่มีใครสนใจจะสวมใส่หยกที่ได้รับการซ่อมใหม่แม้ว่าจะซ่อมออกมาดีก็ตาม เพราะพลังอำนาจในการคุ้มครองหมดไปแล้วจึงต้องใช้อันใหม่แทนที่
ชาวจีนถือว่าหยกมีค่าสูงสุด และเรียกว่า “ ยี่” (ภาษาจีนกลาง) แต้จิ๋วเรียก “ เง็ก” ยอมรับและเชื่อกันว่าหยกรักษาความเจ็บป่วย และป้องกันสิ่งชั่วร้ายอัปมงคลได้ นำพาโชควาสนาสู่ผู้ครอบครอง ชาวจีนสมัยก่อนเชื่อว่าผู้มีบุญวาสนาจึงจะได้ครอบครองหยกติดตัว
หยกมีความสำคัญต่อราชตระกูลกษัตริย์ของจีนมาตั้งแต่ครั้งโบราณ ในตระกูลใหญ่ ๆ นิยมนำชื่อ-แซ่ (สกุล) และหนังสือ ๔ ตัว แสดงเป็นเครื่องหมายสำคัญลงในแผ่นหยก เป็นตราประจำวงศ์ตระกูล ซึ่งตามปกติจะต้องทำพิธีประสิทธิ์ความศักดิ์สิทธิ์ก่อน (พุทธาภิเษก) จึงจะนำออกแจกจ่ายได้ เพราะพระหยกเป็นของสร้างได้ยาก มีจำนวนน้อย ท่านผู้ใดได้ครอบครองประจำตัวจะปกป้องคุ้มครองรักษาตัวเราได้ในทุกที่ ทุกสถาน ทำมาค้าขายธุรกิจอันใด อธิษฐานในใจ สิ่งที่ปรารถนาจะพบกับความสำเร็จสุขสวัสดีทุกสิ่งทุกประการ
หยกแท้ธรรมชาติ ที่นักวิทยาศาสตร์นักวิชาการทั่วไปยอมรับมี ๒ ชนิด หรือ ๒ ประเภท คือ
1. หยกประเภทเจดไอท์หรือเจไดต์ ( JADEITE)
มีธรรมชาติกำหนดจากแร่โซเดียมและแร่อลูมิเนียม เนื้อหยาบเป็นเส้น มีความใสความขุ่นมีธาตุโซเดียมเป็นองค์ประกอบสำคัญ
มีสูตรทางเคมี คือ Na Al (Si ๒ O ๖)
ความแข็ง (Hardness ( ๖.๕ - ๗)
น้ำหนักถ่วงเฉพาะ (Specific Gravity) ๓.๔๔
มาตรการหักเหแสง ๑.๖๖-๑.๖๘
ความหนาแน่น ๓.๒๕-๓.๓๕
มีความทนทานสูง เพราะการประสานตัวของผลึกเป็นไปอย่างซับซ้อนและมีความเหนียวแน่นดีมาก เชื่อว่ามีอายุในยุคพรีแคมเบรียน ระหว่าง ๑๔๑-๕๗๐ ล้านปีแล้ว บางแห่งมีอายุ ๓๗ - ๑๔๐ ล้านปีก็มี หยกชนิดนี้มีรูปผลึกระบบโมโนคลีนิค
หยกเจดไอท์หรือเจไดต์ส่วนมากมีหลายสี เช่น ขาวขุ่น น้ำตาล เหลือง ม่วง เทา ดำ ฟ้า น้ำเงิน มีลักษณะเป็นก้อน ๆ บางก้อนก็มีหลายสีปะปนกัน ส่วนหยกสีเขียวหายากมาก มีน้อยมาก มีปะปนอยู่ในก้อนหยกสีต่าง ๆ เช่น ในก้อนหยกสีขาวขุ่นเป็นต้น
หยกเจไดต์สีเขียวที่พบเพียงเล็กน้อย นิยมนำมาเจียรนัยเป็นเครื่องประดับคือหัวแหวนสีเขียว และถือว่ามีค่า มีราคาซื้อขายกันในหลักหมื่นหลักแสน ยิ่งในปัจจุบันนี้ราคาเป็นล้าน ๆ
ส่วนหยกเจดไอท์หรือเจไดต์ที่ไม่มีสีเขียวปน นิยมสลักเจียรนัยเป็นกำไลหยก ขายกันวงละหลายพันหลายหมื่น หรือนำมาเจียรนัยเป็นศิลปะกรรมรูปพระพุทธรูป รูปสัตว์ ผลไม้ และศิลปกรรมของใช้สวยงามต่าง ๆ
หยกเจดไอท์มีหลายสี ถึงแม้ว่ามีสีเขียวจะมีค่ามากในเชิงธุรกิจเครื่องประดับ แต่ในทางวิทยาศาสตร์ ทางวิชาการแล้ว ถือว่ามีคุณสมบัติเท่าเทียมกัน เป็นแร่ชนิดเดียวกัน มีความแข็งเท่ากัน ไม่มีอะไรต่างกันเลย หยกเขียวชิ้นละ ๕ ล้านกับหยกสีธรรมดาชิ้นละ ๕๐๐ บาท ล้วนมีคุณสมบัติเท่ากันหรือเหมือนกันทุกประการ
หยกเจดไอท์หรือเจไดต์นี้ ส่วนมากพบในชายแดนพม่าติดจีนในรัฐคะฉิ่น แถบเมืองโมกอง ผาก้าน โมฮัง ในจังหวัดมิจิน่า (หรือมะยิตกินา) แนวเทือกเขา TAWMAW ในพม่า เป็นแหล่งหยกเนื้อแข็งเจไดต์ที่รู้จักกันมากที่สุด นิยมเรียกกันว่าหยกพม่า แหล่งหยกชนิดนี้ที่พบมากรองลงมาคือที่ตุรกี บริเวณทิวเขามณฑลเชนสี ในยูนานของจีนก็พบแหล่งหยกเจไดต์แบบเดียวกับที่พม่า และเนื่องจากหยกเจไดต์มีหลายสีและส่วนใหญ่ที่พบจะไม่มีสีเขียว ส่วนมากจะพบสีเทา สีหม่น สีครีมต่าง ๆ หรือมีเขียวปะปนบ้างเล็กน้อย บางก้อนก็มีสีม่วงปน เนื้อหยกชนิดนี้มีลักษณะเนื้อแบ่งออกเป็น ๖ อย่าง คือ
เนื้อคล้ายเทียนไข
เนื้อแก้ว (เนื้อค่อนข้างใส แต่หายากและแพงมาก หากเป็นสีเขียวใส เขียวสดใส ราคาเป็นหลายสิบล้านขึ้นไป หากสีไม่เขียวแต่เนื้อใสก็มีราคาเป็นแสนเป็นล้านขึ้นไปเช่นกัน )
เนื้อคล้ายผ้าแพรของจีน
เนื้อมะระมัน (คล้ายเนื้อผ้าอย่างดีในราชสำนักโบราณของพม่า)
เนื้อครั่ง ขุ่น ๆ หยาบ ๆ
เนื้อไส้ฟักทอง
การแบ่งหยกของประเทศพม่าเพื่อขายแปรรูป มี ๓ ประเภท
อย่างที่ ๑
เรียกว่า IMPERIAL JADE หรือหยกจักรพรรดิ
หรือเรียกอีกชื่อว่า EMERALD COLOUR JADE หรือหยกสีมรกต พม่าเรียกว่า “ ครีมโซดา”
ซึ่งหยกชนิดนี้แพงที่สุดหายากที่สุด และมีปริมาณขนาดชิ้นเล็ก ๆ จะคัดเลือกเอาเฉพาะที่มีสีเขียวสด เนื้อค่อนข้างใส ซึ่งมีปริมาณน้อยมาก มีขนาดเล็ก ๆ มาตัดเจียรนัยเป็นหัวแหวน หรือเครื่องประดับเพื่อค้าขายกันในวงการธุรกิจอัญมณีเท่านั้น ไม่นิยมนำมาแกะเป็นพระพุทธรูปเพราะมีปริมาณขนาดเล็กและหายาก ราคาแพงมาก ในจำนวนปริมาณก้อนหยกหลายพันก้อน จึงจะพบจุดหรือปานสีเขียวชนิดนี้ปรากฏเป็นบางส่วนในเนื้อของก้อนหยกพม่าเป็นบางก้อนเท่านั้น จะพบได้โดยการนำหยกพม่าแบบก้อนมาผ่าหรือนำมาตัดเป็นชิ้น ด้วยเครื่องตัดหยก จำนวนหลายร้อยหลายพันก้อนจึงจะพบแถบสีเขียวสดปรากฏอยู่เป็นบางจุด
อย่างที่ ๒
เป็นหยกที่เหลือจากประเภทแรก เรียกว่า UTILITY JADE พม่าเรียกว่า “ อะเถ่เจ้า ”
หยกประเภทนี้รัฐบาลทหารพม่าเปิดประมูลชายแก่บรรดาโรงงานเจียรไนหยก ประเทศต่าง ๆ โดยเปิดประมูลที่กรุงร่างกุ้ง และที่เมืองมัณฑเลย์ปีละ ๓-๕ ครั้ง หยกประเภทนี้เปิดประมูลราคาเป็นก้อน ๆ ถ้าก้อนใหญ่ราคาว่ากันเป็นหลายแสน หลายล้านบาทขึ้นไป
เป็นก้อนหยกที่ตัดผ่าเอาส่วนสีเขียวสดไปแล้วหรือไม่มีส่วนสีเขียวสดปรากฏอยู่ในเนื้อหยก หยกชนิดนี้มักจะนำมาขายเพื่อนำไปแปรรูปเป็นหยกเครื่องประดับต่าง ๆ เช่น ทำกำไลหยก และศิลปกรรมเครื่องประดับต่าง ๆ หยกประเภทที่สองนี้อาจเป็นหยกที่มีสีเขียวปะปนบ้าง แต่เขียวไม่สดอาจเป็นสีเขียวอ่อน เขียวประปราย สีเขียวคล้ำ เขียวแก่ใบไม้ สีเขียวปนน้ำตาลปนขาว
ถ้าหากไม่มีสีเขียวปนก็เป็นหยกเนื้อเทียน เนื้อแก้ว เนื้อแพร เมื่อเจียรนัยแปรรูปแล้วจะมีเนื้อมันเนียน นิยมทำกำไลหยก
อย่างที่ ๓
เรียกว่า COMMERCIAL JADE พม่าเรียกว่า “ อะตาเจ้า”
เป็นหยกที่มีสีขุ่น ๆ ทึบ ๆ มีสีต่าง ๆ เช่น เทา หม่น สีทึบคละปะปนกันแต่สีก็สวยและมีค่าเช่นกัน หยกประเภทนี้จะเหมาขายกันเป็นกิโล เอาน้ำหนักก้อนหยกเข้าว่า โรงงานแปรรูปจะนำมาแกะสลักเจียรนัยเป็นพระพุทธรูป เทวรูป รูปสัตว์ต่าง ๆ ฯลฯ และเครื่องใช้ศิลปกรรมสวยงามแบบต่าง ๆ
เมื่อแปรรูปแกะสลักเจียรนัยแล้วก็มีราคาแพงขึ้นมากเช่นกัน
หยกทั้ง ๓ ชนิดมีคุณสมบัติเหมือนกันทุกประการ แตกต่างกันที่สี และขนาดเท่านั้น ส่วนก้อนขนาดใหญ่ ๆ ไม่ค่อยปรากฏมากนัก ถ้ามีส่วนมากก็จะมีแต่รอยแตกร้าวตามธรรมชาติของหินหยก
ดังนั้นเราจึงไม่ค่อยได้เห็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ๆ โดยส่วนใหญ่จะเป็นพระพุทธรูปองค์เล็ก ๆ เท่านั้น แต่ถ้ามีองค์ใหญ่มาก ๆ จะไม่ใช่หยกพม่า
แต่จะเป็นหินสีจากแคนาดาหรือยุโรป ซึ่งมีคุณสมบัติไม่ว่าจะเป็นความงดงามหรือความแข็งแกร่ง ความแวววาวของเนื้อหยกและความนิยมของคน เป็นรองจากหยกพม่ามาก
(หยกพม่าเท่าที่ทราบมา ในประเทศไทย ความใหญ่หน้าตักไม่เกิน ๒๕ นิ้ว แต่ที่วัดอู่ทรายคำ ต.ช้างม่อย อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ที่กำลังจะแกะเร็ว ๆ นี้ ก้อนหยกจากพม่ามีพร้อมแล้วจะมีขนาดหน้าตักกว้างถึง ๒๙ นิ้ว สูง ๑ เมตรกว่าๆ )
๒. หยกประเภทเนไฟรต์,เนฟไรท์ นีฟไรท์ ( NEPHRITE)
มีธรรมชาติเกิดจากแร่แมกนีเซียม แคลเซียม และเหล็ก หรือเป็นแร่ตระกูลแอมฟิโบล มีรูปผลึกแบบโมโนคลีนิค หยกจำพวกนี้มีสีเขียวใบไม้สด ใบไม้แก่ เขียวใบไม้อมสีดำ ไปจนถึงสีจางเกือบขาว มีความแข็งน้อยกว่าหยกเจดไอต์
(หยกพม่า)
มีสูตรทางเคมี คือ ( Ca ๒ (Mg,Fe) ๕ Si ๘ O ๒๒ (OH) ๒
ความแข็ง (Hardness) ๖.๕
น้ำหนักถ่วงจำเพาะ (Specitic Gravity) ๓
มาตรการcl'sydgs (Refractive Indices) ๑.๖๐-๑.๖๓
ความหนาแน่น ๒.๙๓-๓.๑
หยกเนไฟรต์ปัจจุบันพบมาก ในบริติช โคลัมเบีย ใกล้อลาสก้า ในประเทศแคนาดา มีแหล่งหยกเนื้อดีสีใบไม้สดจนถึงเขียวอมดำจำนวนมากตามบริเวณเทือกเขาที่มีหิมะปกคลุมขาวโพลนเกือบตลอดปี นอกจากนี้ยังพบที่ไซบีเรียประเทศรัศเซียก็มีหยกเนไฟรต์แบบเดียวกันประเทศแคนาดาเช่นกัน
หยกเขียวเนไฟรต์จากรัสเซียมีชื่อเสียงรู้จักกันมานาน นอกจากนั้นยังพบในบริเวณตะวันออกของไต้หวัน ส่วนในประเทศนิวซีแลนด์เรียกหยกชนิดนี้ว่า หินสีเขียว (Green Stone)
ในประเทศออสเตรเลีย หยกจำพวกนี้มีเรียกกันว่าหินเมารี เพราะในอดีตชนเผ่าเมารีใช้ทำหัวขวานและอาวุธต่าง ๆ หัวขวานโบราณที่ทำด้วยหยกชนิดนี้พบในที่หลายแห่ง เช่นในประเทศเม็กซิโก กัวเตมาลา เวเนซูเอลา นิวกินี แม้ว่าในประเทศเหล่านี้ไม่ปรากฏมีแหล่งกำเนิดหยกก็ตาม
หยกเนไฟรต์จากแคนาดามี ๓ เกรด คือ
เกรดเอ - เขียวใบไม้สด
เกรดบี - ปานกลาง
เกรดซี - เขียวดมสีดำ ออกมืด ๆ
(วัดธรรมมงคล สุขุมวิท ๑๐๑ กรุงเทพฯ ก็ใช้หยกประเภทนี้ทำเป็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่สุด ไม่ใช่หยกพม่าประเภท ๑ )
หินหยกกับหินอ่อน แตกต่างกันอย่างไร
หินอ่อน ( MARBLE) จัดเป็นหินแปรชนิดหนึ่ง ส่วนใหญ่ประกอบไปด้วยแร่คาร์บอเนต (Carbonate minerals) เช่น แคลไซต์ (Calcite) และโดโลไมต์ (dolomite) เป็นต้น นอกเหนือจากนี้อาจมีแร่แคลก์ซิลเกต (Calesilicate) อื่น ๆ บ้าง เช่น ไดออกไซต์ (Diopside) เป็นต้น
หมายเหตุ :
สีของหยกเจดไอท์ที่ไม่ใช่สีเขียว ที่เป็นหยกสีขาว สีขุ่นสีต่าง ๆ อาจมีความคล้ายคลึงกับสีหินอ่อน ทำให้คนทั่วไปเข้าใจผิดคิดว่าหยกแท้ต้องเขียว หากสีไม่เขียวเป็นหินอ่อนนั้น ยังเข้าใจไม่ถูกต้อง เพราะการจะวินิจฉัยว่าเป็นหยกหรือหินอ่อนนั้นต้องดูที่ความแข็ง เนื้อแร่ ความทนกรดด้วย
หยกทั้ง ๒ ชนิดจะทนต่อกรดทุกชนิด ส่วนหินอ่อนไม่ทนกรด หน่วยงานที่ทำหน้าที่พิสูจน์คือกองวิเคราะห์กรมทรัพย์กรธรณี และผู้ที่เชี่ยวชาญที่จะตรวจวิเคราะห์ได้ว่าเป็นหยกหรือหินอ่อน
หยกกับความเชื่อคนจีน
หยก หรือ ยู่ ในภาษาจีนกลาง หรือ เง็ก ในภาษาจีนแต้จิ๋ว
คือ อัญมณีที่ชาวจีนยกย่องว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งคุณธรรม 5 ประการ
คือ ใจบุญ สมถะ กล้าหาญ ยุติธรรม และมีสติปัญญา
ชาวจีนมีความผูกพันกับหยกตั้งแต่เกิดจนตายก็ว่าได้ เพราะชาวจีนเชื่อว่าหยกเป็นอัญมณีศักดิ์สิทธิ์ที่นำมาซึ่งสิริมงคล ความเจริญรุ่งเรือง ความร่ำรวย ความมีโชคแก่ผู้ครอบครองและทำให้อายุยืนด้วย
ดังนั้นชาวจีนในสมัยก่อนไม่ว่าจะเป็นชนชั้นใด จึงนิยมใช้หยกเป็นเครื่องประดับและเครื่องใช้ต่างๆ
เช่น จักรพรรดิใช้หยกเป็นตราพระราชลัญจกร พระธำมรงค์ พระคทา หรือพระที่นั่ง ชาวจีนทั่วไปมักจะให้ลูกหลานของตนพกหยกติดตัวไว้เสมอ ถ้าเป็นเด็กหญิงจะสวมกำไลหยก แต่ถ้าเป็นเด็กชายก็จะพกเครื่องใช้ที่ทำด้วยหยกหรือจี้พระหยก เมื่อเสียชีวิตหยกก็จะถูกฝังลงไปพร้อมกับศพ
การที่ชาวจีนฝังหยกลงไปด้วยกันกับศพนี้ เนื่องจากเชื่อกันว่าหยกสามารถรักษาศพไม่ให้เน่าเปื่อยได้ ดังที่มีการขุดพบฉลองพระองค์หยกของพระจักรพรรดิในราชวงศ์ฮั่นตะวันตกเมื่อ 2,000 ปีก่อน ซึ่งเป็นหลักฐานยืนยันความเชื่อนี้ ส่วนประเพณีทำศพนั้น ชาวจีนมักจะนำหยกที่แกะสลักเป็นรูปกลมแบนมีรูตรงกลางซึ่งแทนสัญลักษณ์ของสวรรค์ที่เรียกว่า “ปิ” (Pi) มาวางไว้ด้านหลังศพ ส่วนบนท้องศพจะวางหยกรูปสี่เหลี่ยมซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของโลก เรียกว่า “จุง” (Tsung) เพื่อให้สวรรค์หนุนหลัง
หยกสีเขียว คือ สีที่ผู้คนนิยมสวมใส่มากที่สุด แต่นอกจากสีเขียวแล้วหยกยังมีสีสันอื่น ๆ อีก เช่น แดง ม่วง เหลือง น้ำตาล สีของหยกที่แตกต่างกันเหล่านี้เป็นสัญลักษณ์ของสิริมงคลและคุณสมบัติที่แตกต่างกันไป เช่น
หยกจักรพรรดิ สีเขียว สีต้องเขียวสดใส ไม่มืดแม้ในที่ร่ม สีไม่อมฟ้าหรือเทา เนื้อใสแวววาวไม่มีรอยร้าวจะมีราคาดี เนื้อขุ่นแต่สีหวานก็เป็นที่นิยม ไม่ควรมีลายขาวหรือดำปน มีความหมายในด้านอุดมสมบูรณ์ ความมั่งคั่ง ความร่ำรวย ชาวจีนเชื่อว่าหยกสีเขียวเป็นต้นกำเนิดของคำว่า "เงินทองไหลมาเทมา" เป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ร่ำรวย ช่วยบำบัดรักษาโรค
หยกสีขาวเป็นสัญลักษณ์ของความมีโชค ช่วยให้จิตใจสงบ มีคุณสมบัติในการเปลี่ยนความฝันให้เป็นจริงและเป็นแรงบันดาลใจให้คนสำเร็จ นำเอาความโชคดีมาสู่ผู้เป็นเจ้าของ ทั้งยังเป็นสัญลักษณ์แห่งความบริสุทธิ์ผุดผ่องซึ่งเน้นลงไปถึงพลังจิตใจที่ใสสะอาด นอกจากนั้นยังหมายถึงความมีอายุยืนด้วย
หยกสีเหลือง : ช่วยบำบัดอาการฝันร้าย ปลูกฝังความสงบ ความสุข และความสุขภายใน และช่วยให้เราตระหนักถึงความเชื่อมโยงของทุกชีวิต หยกเหลืองยังเป็นที่รู้จักในการปรับปรุงการดูดซึม การย่อยอาหาร ความเข้าใจและการเอาใจใส่ เป็นสัญลักษณ์แห่งการกระตุ้นชีวิตชีวาให้เต็มไปด้วยความสุข สนุกสนาน ทั้งยังเป็นการเพิ่มพลังให้กับผู้สวมใส่ตลอดเวลา เป็นสัญลักษณ์แห่งการสร้างสรรค์โดยแท้จริง เป็นสีที่เหมาะสมกับอาชีพที่ต้องการความสุขและการสร้างสรรค์สูง ๆ เช่น อาชีพศิลปิน นักแสดง
หยกสีม่วงเป็นสัญลักษณ์ของชีวิตที่มีความสุขสมบูรณ์พร้อมทั้งยังช่วยรักษาด้านอารมณ์ของผู้สวมใส่ให้มีความอดทนอดกลั้นและมีความสุขอยู่ตลอดเวลา
หยกสีแดงแสดงถึงการรับรู้อารมณ์ของความรักได้ดี ทั้งยังเป็นหยกที่ช่วยลดความโกรธและความเครียดต่างๆได้ด้วย กล่าวได้ว่าคนที่สวมใส่หยกสีแดงนั้นมักจะเป็นคนที่สนุกสนานในการใช้ชีวิตและทำให้ผู้คนที่อยู่รอบข้างรู้สึกคล้อยตามได้ไม่ยาก และนั้นเป็นหนทางที่ทำให้มีคนสนใจและพอใจจนอาจส่งรัศมีความรักให้ด้วยเช่นกัน นอกจากนั้นการเป็นคนสนุกสนานก็ย่อมทำให้คลายเครียดและมีความสุขเพิ่มมากขึ้นด้วย
หยกสองสี ประกอบไปด้วยหยกสีขาว หยกสีเขียว หรือ บางครั้งอาจจะเป็นหยกสีเขียว หยกสีดำ และหยกสีขาว หยกสีม่วง จะทำให้ผู้ที่ครอบครองมีความอุดมสมบูรณ์ในด้านเงินทองเช่นกัน
หยกสามสี คือหยกที่ประกอบไปด้วยหยกสีม่วง หยกสีเขียว หยกสีขาว อันเป็นการสื่อความหายไปถึง โชคลาภ วาสนา และอายุที่ยืนยาว
หยกสีอ่อน ๆ เนื้อแก้วเป็นสัญลักษณ์ของจิตใจที่สงบสุข
ส่วนลักษณะที่แข็งและหนาแน่นของหยกเปรียบเหมือนความฉลาดและความกล้าหาญ ความลื่นเป็นมันของผิวหยก คือ ความยุติธรรม และการให้ความรู้สึกที่นุ่มนวลเป็นเครื่องหมายของความกตัญญู
นอกจากนี้ ชาวจีนยังเชื่อกันอีกว่าหยกมีอำนาจคุ้มครองผู้สวมใส่ให้พ้นจากสิ่งชั่วร้าย เป็นเครื่องรางบอกเหตุได้ว่าผู้สวมใส่กำลังมีโชคหรือมีเคราะห์อย่างไร โดยสังเกตได้จากสีของหยก หากหยกมีสีสันสดใส นั่นก็หมายความว่า เจ้าของหยกกำลังจะมีโชค แต่ถ้าหากหยกมีสีหมองลงหรือมองเห็นรอยแตกร้าวชัดขึ้นก็แปลว่า เจ้าของหยกกำลังจะมีเคราะห์มาเยือน
หยกที่ชาวจีนใช้เป็นเครื่องรางมักจะแกะสลักเป็นรูปสัตว์ต่าง ๆ เช่น ปลา เต่า จิ้งหรีด หน้าเสือ
ทางด้านการรักษาโรค ชาวจีนเชื่อกันว่าหากกินหยกบดละเอียดจะช่วยรักษาโรคไต โรคเจ็บสีข้าง โรคโลหิตจาง โรคหอบหืด
หยกดึงดูดความมั่งคั่ง เสริมความเจริญก้าวหน้า ปกป้องคุ้มครอง โดยเฉพาะทารก และคนชรา มีพลังในการปลุกปลอบจิตใจสูง สร้างสมดุลทั้งร่างกาย และจิตใจ ช่วยให้อายุยืน
ชาวจีนศรัทธาและยกย่องอัญมณีสีเขียวล้ำค่านี้มากจนนำคำว่า “หยก” มาใช้เป็นคำแสดงลักษณะอาการที่ประณีต งดงาม และมีความหมายในทางที่ดีงามอีกด้วย เช่น
“ยู่หนู่” แปลตามตัวว่า ผู้ที่ทำด้วยหยก แต่ความหมายที่แท้จริง คือผู้หญิงสวย
“ยู่เมี่ยน” แปลว่าหน้าหยก แต่ความหมายที่แท้จริง คือใบหน้าอันงดงาม
ทุกวันนี้ชาวจีนส่วนใหญ่ยังคงใช้หยกเป็นเครื่องประดับอยู่ แม้ว่าเวลาจะล่วงเลยมานาน แต่ความเชื่อความศรัทธาในคุณค่าของอัญมณีชนิดนี้ยังสามารถถ่ายถอดมาสู่ผู้คนรุ่นหลังได้โดยไม่เปลี่ยนแปร
ชาวจีนโบราณเชื่อว่าหยกเป็นแก่นแท้ของสวรรค์และโลก ช่วยให้คนที่มีความปรารถนาสร้างความฝันให้เป็นจริง เป็นแรงบันดาลใจให้ประสบความสำเร็จ
ตามตำนานความเชื่อนับแต่โบราณกาล ชาวตะวันออกเชื่อว่าหยกเป็นอัญมนีแห่งโชคลาภ ความรุ่งเรืองและมีฤทธิ์ช่วยขจัดอำนาจชั่วร้าย แต่แท้จริงแล้วยังสามารถนำมาใช้ในเรื่องที่เกี่ยวกับความสวยความงามได้เป็นอย่างดี
หยกเป็นหินที่มีพลังในการดูดซับที่ดี ช่วยปลุกปลอบให้เกิดกำลังใจ ช่วยสร้างความสมดุล ดีอย่างยิ่งสำหรับผู้เป็นโรคหัวใจ มีอาการหอบหืด ให้การคุ้มครองแบบเดียวกับหินปะการัง เป็นหินแห่งมิตรภาพ หากนำหยกใส่ในเครื่องดื่ม หยกจะช่วยสร้างความแข็งแรงให้เกิดขึ้นกับกล้ามเนื้อ ช่วยให้กระดูกมีความแข็งแกร่งขึ้น รวมทั้งช่วยให้โลหิตที่ไหลวนเวียนอยู่ในร่างกาย มีความสะอาดบริสุทธิ์มากขึ้นอีกด้วย
ขอบคุณที่มา :
บทความ จากอินเตอร์เนท
หนังสือคริสตัลพลังแห่งสีสันอัญมณี โดย ศิขริน / สำนักพิมพ์เรือนบุญ
หนังสือเพชรพลอยเพื่อสิริมงคล โดย มณิขจิต / สำนักพิมพ์มติชน
https://www.facebook.com/aoyexpress/posts/pfbid0Ca694MM1jEf29oc2wLYNVD9wRUGKh8NH7PjBYLoeYQqpi7MWm9BsW4Hyt9So43iAl
fb : Aoy Otaphol