แก้วโป่งข่าม อัญมณีล้ำค่าของล้านนา 12 ประเภท
แก้วโป่งข่าม" เมื่อเอ่ยถึงชื่อนี้ เชื่อว่าหลายท่านรู้จักเป็นอย่างดี แต่ก็ยังมีอีกไม่น้อย ที่เพียงแต่เคยได้ยินชื่ออย่างผิวเผิน ทั้ง ๆ ที่ แก้วโป่งข่ามมีชื่อเสียงมานานหลายสิบปีในยุคร่วมสมัย และนานหลายร้อยปีในยุคอดีตกาล เพียงแต่ชื่อเสียงเหล่านั้น คงอยู่ในวงแคบ ๆ โดยเฉพาะทางเขตภาคเหนือ ซึ่งได้กลายเป็นมรดกทางวัฒนธรรม เป็นตำนานแห่งความศักดิ์สิทธิ์ชาวลานนา การเล่าขานถึงปรากฏการณ์ปาฏิหาริย์ ยังคงสืบเนื่องจากรุ่นสู่รุ่น จากอดีตจนถึงปัจจุบัน
ในยุคสมัยแห่งความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี คนเราหันไปสนใจเฉพาะสิ่งที่ตามองเห็น และเชื่อในสิ่งที่ตนสัมผัสได้เท่านั้น โดยละทิ้งธรรมชาติอันเป็นแหล่งที่มาของตน ไม่รับรู้ถึงพลังของธรรมชาติที่ยังคงอยู่รอบ ๆ ตัวเรา
ในอดีตนับพันปี มีความเชื่อสืบเนื่องกันมาว่า ดวงดาวต่าง ๆ มีอิทธิพลต่อมนุษย์นับตั้งแต่เกิดมา และจะส่งผลต่อคนผู้นั้นไปตลอดอายุขัย ทั้ง ๆ ที่ดวงดาวเหล่านั้น อยู่ห่างไกลจากตัวเรานับหลายร้อยหลายพันปีแสง ดวงจันทร์ก็มีอิทธิพลต่อโลก (และคน) เช่นกัน จนนักวิทยาศาสตร์และดาราศาสตร์ต่างก็ตั้งสมมุติฐานกันขึ้นมาต่าง ๆ นานาว่า หากวันหนึ่งไม่มีพระจันทร์ โลกจะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปเช่นไร?
"แก้วโป่งข่าม" ก็เป็นแร่ธาตุชนิดหนึ่ง ซึ่งก่อกำเนิดขึ้นมาจากธรรมชาติ และอยู่ใกล้กับตัวเราจนสัมผัสได้ ย่อมที่จะต้องมีอิทธิพลส่งผลต่อผู้ถือครองเช่นกัน
ความเชื่อในเรื่องแก้วศักดิ์สิทธิ์ของชาวล้านนามีมานับนับร้อยนับพันปี ดังหลักฐานการขุดค้นพบแก้วจากกรุโบราณตามสถานที่ต่าง ๆ ในเขตทางภาคเหนือ
เช่นองค์พระมหามณีรัตนปฏิมากร ซึ่งค้นพบในกรุเจดีย์ที่จังหวัดเชียงราย
อีกองค์หนึ่งคือ "องค์พระแก้วดอนเต้า" (ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ที่วัดพระธาตุลำปางหลวง จังหวัดลำปาง)
รวมไปถึงพระแก้วขาวหริภุญชัย หรือรู้จักกันดีในชื่อ "พระเสตังคมณี" ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ที่วัดเชียงมั่น จังหวัดเชียงใหม่ ซึงมีอายุเก่าแก่ถึง 1,800 ปี
แก้วโป่งข่าม เป็นอัญมณีของไทย เป็นทรัพย์ในดินที่ดูเสมือนว่าถูกละลืมไปอย่างน่าเสียดาย ทั้ง ๆ ที่คุณค่าของแก้วโป่งข่าม นอกจากความสวยงามภายนอกแล้ว ยังมีคุณค่าทางวัฒนธรรม, ประวัติศาสตร์ และตำนานความเชื่อต่าง ๆ เป็นมรดกตกทอดให้คนรุ่นหลังได้สืบสาน มากกว่าการเป็นเพียงแค่เครื่องประดับอัญมณีที่สวมใส่กันอย่างฉาบฉวยตามแฟชั่นเท่านั้น
ตำนานที่มา แห่งพลังโป่งข่าม
จากบันทึกโบราณ เคยมีผู้เล่าถึงเหตุการณ์ก่อนที่โป่งข่ามจะแพร่หลายไว้ว่า ในยุคสมัยหนึ่ง มีนายพรานนักล่าเนื้อบนดอยโป่งหลวง (ดอยในเขต อ.เถิน จ.ลำปาง) จากที่เคยล่าสัตว์ชำนาญเป็นอาชีพ วันหนึ่งกลับล่าไม่ได้ เมื่อเจอสัตว์ก็เล็งไปด้วยธนู หากแต่พยายามสักเท่าใด ก็ยิงสัตว์ไม่ถูกจนต้องประหลาดใจในฝีมือตนเอง เลยคิดไปว่า มีอะไรบางอย่างที่คุ้มกันอันตรายให้สัตว์เหล่านี้ นายพรานจึงได้เดินทางสำรวจ สังเกตบริเวณรอบดอยโป่งหลวง ก็ได้พบร่องรองของหินคล้ายแก้วอย่างหนึ่ง มีสีฟ้าออกเทา ด้วยความสงสัย จึงค่อยๆ ย่องตามสัตว์ไป กระทั่งพบแหล่งที่มา
สัตว์เหล่านั้นพากันออกมาหากินดินโป่งแห่งหนึ่ง สัตว์บางตัวที่บาดเจ็บก็กลับหาย แข็งแรงตามปกติ นายพรานจึงเรียกดินโป่งแห่งนั้นว่า“โป่งข่าม” ซึ่ง “ข่าม” มีความหมายในทางล้านนา หมายถึง การอยู่ยงคงกะพัน นั่นเอง
ความศักดิ์สิทธิ์ของโป่งข่าม
บางคนเรียกแก้วโป่งข่ามว่า “แก้ววิเศษ” นั่นเพราะเชื่อมั่นในความศักดิ์สิทธิ์ของแก้วชนิดนี้ ด้วยเชื่อว่าเป็นสมบัติจากพระแม่ธรณี ซึ่งมักจะมีเรื่องเล่าในทางภาคเหนือสืบต่อกันมาว่า บางครั้งในยามใกล้รุ่ง หรือ จวนค่ำ จะพบแสงประหลาดออกมาจากบ่อโป่งข่าม แล้วล่องลอยไปเรื่อยๆ เหมือนเดินทางไปเที่ยว บ้างก็ไปโผล่ในป่า บ้างก็โผล่ตามหมู่บ้าน แสงที่ว่านี้เชื่อว่าเป็นอานุภาพความศักดิ์สิทธิ์ของแก้วโป่งข่ามนั่นเอง
ในสมัยโบราณ แก้วโป่งข่ามนั้นจำเป็นต้องเก็บไว้ให้ชายฉกรรจ์ที่ต้องไปเป็นทหาร ออกรบ หรือต่อสู้กับผู้ร้าย เช่น ตำรวจ ทหาร ต่างแสวงหาแก้วโป่งข่ามที่ตนชอบเก็บไว้ติดตัว เพื่อช่วยให้ “ข่าม” หรือคงกระพันยามเจอศัตรู ซึ่งเหตุผลถัดมาที่คนนิยมสะสมก็เพราะเป็นเครื่องประดับที่ราคาไม่แพง แต่มีความสวยงาม คงทน บ้างก็เชื่อว่าสะสมไว้จะทำให้โชคดี เป็นมงคล ทำมาค้าขึ้น ซึ่งสามารถศึกษาคุณสมบัติได้จากแก้วโป่งข่ามแต่ละชนิด
พระพุทธรูปสำคัญของไทยจากแก้วโป่งข่าม
พระพุทธรูปสำคัญของภาคเหนือคือ “พระแก้วกรุฮอด” เป็นพระพุทธรูปขนาดเล็ก ที่แกะสลักจากหินสี หรือ แก้วโป่งข่ามเช่นกัน ซึ่งเป็นพระศิลปะเชียงแสนยุคหลัง มีอายุในราวพุทธศตวรรษที่ 21 ขุดพบโดยกรมศิลปากรในปี พ.ศ.2502 ด้วยความเกรงกลัวว่าหลังการสร้างเขื่อนภูมิพลฯ แล้วเสร็จจะเกิดเหตุน้ำท่วมเมืองฮอด จึงมีการรวบรวมของมีค่าในกรุเจดีย์ หรือ วัดวาอาราม เพื่อเก็บไว้ก่อนจะได้รับความเสียหาย
ในการขุดครั้งนั้น พบพระพุทธรูปแกะสลักจากหินสีจำนวนมาก ขนาดหน้าตัก 3 นิ้ว เรื่อยมาจนถึงเล็กเท่าปลายนิ้วก้อย ส่วนใหญ่เป็นพระปางสมาธิและปางมารวิชัย ปางอื่นๆ ที่พบบ้างได้แก่ พระสังกัจจายน์ พระปางยืน ซึ่งเป็นศิลปะแบบช่างฝีมือชาวบ้านที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
พระแก้วกรุฮอดที่ขุดพบมีทั้งสีเหลือง สีขาวใส สีแดง สีส้ม และลักษณะมีสายแร่แบบเส้นผมด้านใน (แก้วขนเหล็ก) และแบบเส้นไหมสีทอง (ไหมทอง) และเส้นสีฟ้า (ไหมฟ้า) ซึ่งปัจจุบันอยู่ในการดูแลของกรมศิลปากร
แก้วโป่งข่าม อัญมณีล้ำค่าของชาวล้านนา จัดแยกเรียกชื่อเป็นประเภทต่าง ๆ ได้ดังนี้
1.แก้วเข้าแก้ว
แก้วเข้าแก้ว จัดเป็นแก้วที่เรียกได้ว่าแปลกประหลาด มีค่าสูงและหาได้ยาก เมื่อยังไม่ได้ทำการเจียรไน โดยยังเป็นหน่อแก้วอยู่นั้น จะมองเห็นหน่อแก้วลิ่มเล็ก ๆ อาจจะลิ่มเดียวหรือเป็นกลุ่ม งอกขึ้นอยู่ภายในหน่อแก้วใหญ่ โดยแทงทะลุจากภายนอกด้านใดด้านหนึ่งเข้าไปภายใน หรืออาจจะเป็นหน่อแก้วซ่อนอยู่ภายในหน่อแก้วใหญ่ ซึ่งแก้วเข้าแก้วชนิดนี้หาได้ยากมาก และมีราคาสูง
แก้วเข้าแก้ว ได้จัดแยกประเภทสืบกันมาแต่โบราณดังนี้
1.1 แก้วเข้าแก้วเง่า แก้วเข้าแก้วที่มีการงอกของหน่อแก้วเล็ก จากทางด้านใดด้านหนึ่งของหน่อแก้วใหญ่
1.2 แก้วเข้าแก้วโตน แก้วเข้าแก้วที่มีหน่อแก้วเล็กที่เรียกว่าแก้วโตน (โทน) หรือ
1.3 หน่อแก้วเดี่ยว ๆ งอกอยู่ตรงกลางหน่อแก้วใหญ่ โดยไม่สัมผัสกับ ผิวด้านใดของหน่อแก้วใหญ่
1.4 แก้วเข้าแก้วแฝด แก้วเข้าแก้วที่มีแก้วสองหน่อติดกันหรือเกิดจากด้านใดด้านหนึ่งของของหน่อ แก้วใหญ่
1.5 แก้วเข้าแก้วซ้อนแก้ว แก้วที่มีหน่อแก้วเข้าซ้อนกันอยู่ถึงสองชั้น ซึ่งเป็นประเภทที่หายากมากที่สุด
1.6 แก้วเข้าแร่ หน่อแก้วที่อยู่ภายในมีลักษณะเป็นก้อนแร่ มีสีสันที่แตกต่างกันออกไป
1.7 แก้วเข้าแก้วสลัก แก้วที่เกิดขึ้นภายในจะเป็นแก้วช่อสีอื่น ๆ
แก้วเข้าแก้วแต่โบราณ มีความโดดเด่น ในเรื่องของอำนาจ ความสำเร็จทางการติดต่อค้าขาย ความมีชื่อเสียง ซึ่งสามารถเปลี่ยนโชคชะตาของผู้ที่เป็นเจ้าของ ให้เป็นไปในทางที่ดีขึ้น แก้วเข้าแก้วเป็นแก้วที่มีพลังสูง ซึ่งผู้ที่เป็นเจ้าของอาจจะสัมผัสได้ถึงขุมพลังเร้นลับเหล่านั้น หากผู้ที่ได้ครอบครองปฏิบัติต่อแก้ว ย่อมที่จะได้รับผลดีตอบแทนอย่างคาดไม่ถึง เป็นแก้วที่มีค่า หาได้ยาก เป็นที่ต้องการ และมีราคาสูง
2.แก้วพิรุณแสนห่า
แก้วพิรุณแสนห่า หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า "ฝนแสนห่า" เป็นแก้วที่มีลักษณะเด่นของลวดลายที่เป็นเหมือนเส้นสายฝนที่ตกลงมาเป็นริ้ว ๆ เส้นเหล่านี้จะเป็นเส้นเล็ก ๆ อาจจะเป็นเส้นตรง หรือพริ้วไหวอ่อนช้อยหมือนสายฝนที่ต้องลม
ลักษณะของเส้นสายจะเป็นริ้วบาง ๆ เหมือนกับผ้าแพรบาง ๆ ที่แผ่ขยายออกมาเป็นสาย เป็นแก้วชนิดที่หายากอีกชนิดหนึ่ง และมีราคาสูง โดยเฉพาะเส้นสายฝนที่มีสีสันเป็นสีฟ้า
แก้วพิรุณแสนห่านี้ มีความเชื่อกันว่า สามารถคุ้มครองผู้เป็นเจ้าของให้แคล้วคลาดจากภัยอันตรายทั้งปวง ทำให้ทรัพย์สินงอกเงย อีกทั้งทำให้ประสพแต่ความเจริญรุ่งเรือง ช่วยในเรื่องค้าขาย ทำให้สามารถค้าขายได้ดีกว่าคู่แข่งที่ขายสินค้าประเภทเดียวกันและอยู่ในบริเวณเดียวกัน เรียกว่าสามารถเรียกลูกค้าได้เลยทีเดียว
3.แก้วขนเหล็ก
แก้วขนเหล็ก เป็นแก้วโป่งข่ามอีกชนิดหนึ่งที่มีความต้องการสูง โดยเฉพาะแก้วขนเหล็กแบบน้ำใส ซึ่งมีราคาสูงและพบได้ยากกว่าแก้วขนเหล็กน้ำตัน แก้วขนเหล็กเป็นแก้วโป่งข่ามที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักกันมากที่สุด ถึงกับมีนักเขียน - คุณตรี อภิรุม นำไปประพันธ์เป็นนวนิยาย และได้รับการจัดสร้างเป็นภาพยนต์ถึงสองครั้ง กล่าวกันว่า หากเอ่ยถึงแก้วโป่งข่ามแล้ว คนก็จะรู้จักแก้วขนเหล็กเป็นอันดับแรก
แก้วขนเหล็กแบ่งออกได้เป็นสองประเภทคือ
- แก้วขนเหล็กใส แก้วโป่งข่ามชนิดนี้เป็นแบบน้ำใส ภายในมีเส้นแร่ปรากฏอยู่ มีขนาดไม่เกินเส้นผม มีสีดำ บางคติความเชื่อกล่าวกันว่า เส้นขนสีดำที่อยู่ภายในเม็ดแก้วคือ "เหล็กไหล" ในทางวิทยาศาสตร์ระบุว่า เส้นขนในแก้วชนิดนี้เป็นแร่รูไทล์ (Rutile) ธาตุติตาเนียม (Titanium) ซึ่งเป็นแร่ประเภทโลหะที่มีราคาแพง
แก้วขนเหล็กใส เชื่อกันว่าให้คุณในด้านคงกระพัน โชคลาภและเสริมบารมีให้กับผู้ที่ครอบครอง
- แก้วขนเหล็กตัน แก้วโป่งข่ามชนิดนี้ จะมีเส้นขนสีดำลักษณะเดียวกันกับแก้วขนเหล็กใส เส้นขนอาจจะใหญ่และหยาบกว่า เนื้อแก้วเป็นสีขาวขุ่นหรือสีเทา
แก้วขนเหล็กตัน เป็นแก้วที่ให้คุณในด้านโชคลาภ ยศและตำแหน่งหน้าที่การงาน อีกทั้งในด้านแคล้วคลาดปลอดภัย เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องเดินทางบ่อย ๆ โดยเฉพาะทหารจะนิยมแก้วชนิดนี้กันมาก
4. แก้วปวก
"ปวก" เป็นภาษาเหนือโบราณ แปลว่า ต่อมน้ำหรือฟองน้ำ (ไม่ใช่ "ปลวก" ดั่งที่คนทางภาคกลางเข้าใจกัน เมื่อได้ยินครั้งแรก) คำว่า "ปวก" แสดงถึงสิ่งที่มีลักษณะฟูขึ้นมา เหมือนต้นไม้, ใบหญ้า, ตะไคร่น้ำ, ปะการังหรือสาหร่าย จะเรียกรวมกันว่าปวก
แก้วปวกแต่ละชนิดจะมีชื่อตามสี เช่นปวกเขียว, ปวกแดง, ปวกทอง, ปวกเงิน, ปวกชมพู, ปวกครั่ง แก้วที่มีปวกลอยอยู่กลางเม็ดแก้ว เรียกว่า "ปวกลอย" ส่วนที่ปวกราบกับก้นแก้วเรียกว่า "ปวกทราย" หรือ "ปวกตา"
คุณสมบัติของแก้วปวกนั้น ถือกันว่าให้คุณในด้านเมตตามหานิยม เหมาะสำหรับผู้ที่ทำการค้าขาย ผู้ที่ต้องติดต่อกับบุคคลอื่น ๆ รวมทั้งทำให้อยู่เย็นเป็นสุข แคล้วคลาดและประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน
5.แก้วทราย
ลักษณะของแก้วทรายนั้น เมื่อนำมาเจียรไนแล้ว ด้านบนของเม็ดแก้วจะใส โดยพื้นแก้วด้านล่างจะมีลักษณะของเม็ดทรายเรียงกันเป็นพื้น โดยทั่วไปแล้ว ทรายที่เกิดขึ้นที่พื้นแก้วนั้น จะเกิดอยู่ภายนอกของแท่งแก้ว ซึ่งพวกสารแร่และทรายต่าง ๆ นี้จะอยู่ด้านนอกเป็นสีต่าง ๆ กัน
แก้วทรายนี้ จะมีอยู่หลายสีเช่น สีแดง มีคุณทางด้านป้องกันโรคภัย ทำให้สุขภาพแข็งแรง มีชีวิตชีวาและเพิ่มความกระตือรือล้นให้ชีวิต และยังส่งผลไปถึงความสำเร็จในหน้าที่การงานด้วย
สีทอง ซึ่งเป็นสีที่พบมาก และเป็นที่นิยมในหมู่นักสะสมแก้วโป่งข่าม เนื่องจากจะส่งผลในเรื่องของเงินทอง โชคลาภ รวมไปถึงความมั่งมีและแคล้วคลาดอีกด้วย
6.แก้วหมอกมุงเมือง
แก้วหมอกมุงเมือง เป็นแก้วที่มีลักษณะภายในเหมือนกับลายที่เกิดขึ้นในก้อนน้ำแข็ง คือจะมีลักษณะเป็นลายสีขาว ๆ อาจจะขาวบาง ๆ หรือขาวขุ่นหนาทึบเหมือนกับเมฆบนท้องฟ้า หรืออาจจะเป็นเพียงริ้วบาง ๆ แทรกด้วยสีฟ้าอ่อน หรือมีลักษณะเหมือนกับควันไฟขาว ๆ ก็ได้
หากใครได้ครอบครองแก้วหมอกมุงเมือง จะทำให้เกิดความชุ่มเย็น อีกทั้งยังส่งผลให้เกิดความบริบูรณ์ด้วยทรัพย์สินเงินทอง
ในอีกด้านหนึ่งนั้น แก้วหมอกมุงเมืองจะเหมาะกับผู้ที่ฝึกสมาธิ เนื่องจากแก้วจะช่วยเสริมสมาธิให้กับผู้ฝีก โดยในสมัยโบราณ แก้วชนิดนี้ถูกนำมาให้ในการเสี่ยงทาย และทำสมาธิในการเพ่งดูนรกสวรรค์
แก้วหมอกมุงเมืองสามารถใช้ได้กับวันเกิดทุกวัน โดยเฉพาะคนที่เกิดวันอังคาร หรือผู้ที่ต้องการเสริมบารมี หรือเสริมสมาธิ เนื่องจากคำว่า "หมอกมุงเมือง" หมายถึงความร่มเย็น เสมือนมีหมอกมามุงเมืองไว้ ไม่มีความเดือดร้อนเลย
อีกประการหนึ่ง คำว่า "หมอกเมือง" ในตำราพิไชยสงครามโบราณมีความหมายถึงบรรดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างเทพประจำเมืองอีกด้วย ดังนั้น คำว่าหมอกมุงเมืองจึงมีนัยว่า เป็นแก้วที่มีเทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์คอยคุ้มครองให้ร่มเย็น มั่งคั่ง และยังข่ามคง(คงกระพัน , คงทน)สีหนาถอีกด้วย
7.แก้วนางขวัญ (จอมขวัญ)
แก้วนางขวัญ หรือแก้วจอมขวัญ เป็นแก้วอีกชนิดหนึ่งที่หาได้ยากมาก มีสีพื้นเป็นสีม่วงอ่อน ๆ จนถึงสีม่วงเข้ม (ซึ่งหาได้ยากมาก) สีม่วงนี้จะคล้ายสีม่วงดอกตะแบก หรือม่วงไวโอเล็ต หลายคนเข้าใจว่าจะเหมือนกับอเมทิส (Amethyst) ของประเทศทางตะวันตก แต่แก้วนางขวัญเมื่อทดสอบแล้ว จะมีเนื้อแข็งกว่ามาก
คุณวิเศษของแก้วนางขวัญนี้ ดีในทางด้านจิต และการนั่งสมาธิ อีกทั้งยังทำให้ผู้ที่ครอบครองมีความเจริญรุ่งเรือง มีชื่อเสียง เป็นยอดในด้านเมตตามหานิยม ส่งเสริมความรักและวาสนา
ในสมัยโบราณ แก้วชนิดนี้ถือได้ว่าสูงค่ามาก ดั่งที่ว่า "มีค่าแสนคำ" เนื่องจากเป็นแก้วที่กษัตริย์โบราณถวายเป็นสักการะแก่พระบรมสารีริกธาตุใน คราวบรรจุพระธาตุเจดีย์ต่าง ๆ
อานุภาพของแก้วนางขวัญจะทำให้ผู้ที่ครอบครองมีเสน่ห์ต่อคนรอบข้าง และยังเชื่อกันว่าจะทำให้แคล้วคลาดจากอาถรรพ์เสน่ห์มายาทั้งปวง เพราะจิต(ขวัญ)ของคนผู้นั้นจะถูกคุ้มครองโดยอานุภาพของแก้ว ไม่ให้โดนอำนาจมนต์มายาใด ๆ สะกดเอาไว้
8.แก้ววิทูรสีน้ำผึ้ง
"ผู้ใดได้ครอบครองแก้ววิทูรสีน้ำผึ้ง จะทำให้เกิดโชคลาภทวีคูณ เกิดความชุ่มเย็น มีชื่อเสียงและอำนาจ การติดต่อค้าขายจะสำเร็จดังปรารถนา และยังจะทำให้แคล้วคลาดอีกประการหนึ่ง"
ลักษณะทั่วไปของแก้ววิทูรสีน้ำผึ้ง จะมีสีเหลืองขุ่น แต่จะไม่ออกสีเหลืองมากนัก โดยจะเป็นสีเหลืองอมส้ม อาจจะมีสีเดียวทั้งเม็ด หรืออาจจะมีลายเป็นริ้ว หรือเป็นวง ๆ โดยจะมีสีเหลือง, เทา, และขาว
แก้ววิทูรส่วนใหญ่ที่พบจะมีสีออกสีเหลืองขุ่น หรือเหลืองขุ่นมีลาย ส่วนสีเหลืองใสจะพบน้อยมาก
9.แก้วแร แก้วฟ้าแร แก้วฟ้า
เมื่อเอ่ยถึงคำว่า "แร" คนทางเหนือจะใช้คำนี้กับความหมายที่ตรงกับคำว่า "แรเงา" อย่างเดียว โดยคนทางภูมิภาคอื่น ๆ มักจะเข้าใจว่าเป็นคำว่า "แล" ที่แปลว่า "ดู"
"แก้วแร" นี้เป็นแก้วที่ส่งผลในการค้ำชูสำหรับผู้ที่ทำธุรกิจค้าขาย เป็นแก้วที่จะเหนี่ยวนำให้เกิดความคิด หรือภูมิปัญญาอันเป็นที่มาของโภคทรัพย์ ซึ่งอาจเปรียบเสมือนแก้วจินดามณี อันหมายถึงพระนางจินดา (พระสุรัสวดี) เทวีแห่งปัญญานั่นเอง
ผู้ที่ครอบครองแก้วแรมักจะเกิดญาณทัศนะบางอย่าง ที่ทำให้สามารถหยั่งลึกได้ในลู่ทางของทรัพย์ หรือก่อให้เกิดจินตนาการเชิงศิลปะ อีกทั้งบังเกิดโชคลาภอันเป็นที่มาของทรัพย์อีกด้วย
10.แก้วมังคละจุฬามณี
แก้วมังคละจุฬามณี คือแก้วที่มีลักษณะภายในเป็นรูปมงคลต่าง ๆ เช่น องค์พระ, ต้นโพธิ์, ใบโพธิ์, เจดีย์, นาค หรือช้าง เป็นต้น เป็นแก้วที่หาพบได้ยากมาก และถือได้ว่าเป็นแก้วที่มีค่าเหลือคณานับ หากผู้ใดได้ครอบครอง จะก่อให้เกิดความร่มเย็น เจริญด้วยสมบัติ แคล้วคลาดจากภยันตรายต่าง ๆ ทั้งปวง อีกทั้งยังช่วยเสริมบารมี ก่อให้เกิดโชคลาภ ประสพความสำเร็จในหน้าที่การงาน และการค้าขาย
11.แก้วสามกษัตริย์
แก้วสามกษัตริย์ จัดได้ว่าเป็นแก้วที่มีคุณอนันต์ เนื่องจากเป็นแก้วที่รวบรวมเอาสิ่งที่เป็นมงคล หรือรวมสกุลแก้วอื่น ๆ ไว้ในแก้วเม็ดเดียวกัน จึงทำให้เป็นแก้วที่เชื่อกันว่ามีคุณวิเศษบริบูรณ์ ทั้งในด้านโชคลาภ ร่ำรวยเงินทอง แคล้วคลาด เมตตามหานิยม และเสริมบารมีให้กับผู้ที่ถือครองแก้วชนิดนี้
ในปัจจุบันแก้วสามกษัตริย์เม็ดขนาดปานกลางถึงขนาดใหญ่ ค่อนข้างที่จะหาพบได้ยาก เนื่องจากเป็นแก้วที่ไม่มีแหล่ง (บ่อ) ที่แน่นอน รวมทั้งมีความต้องการสูง เพราะถือกันว่าแก้วชนิดนี้สามารถใช้ได้กับวันเกิดทุกวัน
แก้วสามกษัตริย์สามารถจำแนกออกได้เป็นสองประเภทคือ
แก้วสามกษัตริย์ ที่เกิดจากการสหชาติ (รวม) ของแก้วต่างสกุลกัน เช่นแก้วเข้าแก้ว, ปวก, ขนเหล็ก หรือ แก้วขนเหล็ก, ปวก, ทรายคำ เป็นต้น ในปัจจุบันแก้วสามกษัตริย์ประเภทนี้หาพบได้ยาก และมีราคาสูงมาก
แก้วสุวรรณสาม คือแก้วสามกษัตริย์ที่เกิดจากการสหชาติ ของแก้วที่อาจจะอยู่ในสกุลเดียวกัน แต่ต่างวรรณะกัน เช่น ประกอบด้วยปวกเขียว, ทอง, แดง หรือทรายทอง, ปวกเขียว, แดง
12.แก้วกาบ
แก้วกาบ เป็นแก้วที่มีแก้วหรือแร่ประกอบอยู่ภายใน ในลักษณะที่เป็นแผ่นบาง ๆ ซึ่งอาจจะมีสีเป็นสีทองหรือน้ำตาล ซึ่งเรียกว่า "กาบทอง" หรือมีสีขุ่นเรียกว่า "กาบเงิน" ในบางครั้งอาจจะพบว่าเป็นแก้วใส ๆ ไม่มีสี ประกอบเป็นแผ่นบาง ๆ อยู่ภายในก็ได้
เชื่อกันว่า แก้วกาบเป็นแก้วที่ให้คุณแก่ผู้ถือครอง ทางด้านหน้าที่การงาน, ยศและตำแหน่ง รวมไปถึงการร่ำรวยเงินทองและอยู่เย็นเป็นสุข
ขอบคุณที่มา :
กลุ่มเจียระไนแก้วโป่งข่าม ผลิตภัณฑ์ OTOP บ้านนาบ้านไร่ ต.แม่ถอด อ.เถิน
http://mongkolmaneejewelry.tarad.com/